วันนี้ ( 20 ก.ย. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ธารน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกละลายลงจนถึงระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกครั้ง เป็นสัญญาณบ่งชี้สำคัญว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศบนโลกกำลังเลวร้ายขึ้นเป็นทวีคูณ
รายงานวิจัยของศูนย์รวบรวมข้อมูลด้านหิมะและน้ำแข็ง ( เอ็นเอสไอดีซี ) ของรัฐบาลสหรัฐ ที่มีสำนักงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ร่วมกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ( นาซา ) เผยแพร่เมื่อวันพุธ ระบุภาพถ่ายจากดาวเทียมล่าสุด เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ธารน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกละลายลงอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดเหลือเพียง 3.4 ล้านตารางกิโลเมตร ถือได้ว่าละลายมากที่สุด นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลเมื่อปี 2522 และมากกว่าสถิติที่มีการบันทึกไว้ 2 ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ส.ค. และ 4 ก.ย. เท่ากับว่า ธารน้ำแข็งละลายมากถึง 518,000 ตารางกิโลเมตร ภายในรยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบด้วยว่า ธารน้ำแข็งมีขนาดบางลงมาก และมีแนวโน้มสูงที่จะละลายมากกว่านี้อีก เนื่องจากการสูญเสียขนาดของธารน้ำแข็งที่คอยสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ จะส่งผลให้แสงอาทิตย์ตกกระทบลงมายังพื้นโลกได้มากขึ้น ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นตามลำดับ
นายจูเลียน สโตรฟ นักวิทยาศาสตร์ของเอ็นเอสไอดีซี กล่าวว่า การแล่นเรือข้ามมหาสมุทรอาร์กติกในเดือน ส.ค. อีก 20 ข้างหน้า อาจไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้ออีกต่อไป หากสถานการณ์ยังคงเลวร้ายลงทุกขณะแบบนี้
|