วันนี้ ( 17 ก.ย.) นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ประเมินว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงจากนี้ไปมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น ตามการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ หรือ คิวอี 3 ของสหรัฐ รวมทั้งการที่ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี อนุมัติให้รัฐสภารับรองการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูยุโรปถาวรได้ ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันไม่ปรับลดลงอีกแล้ว จากปัจจุบันที่ราคา 113 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบยังแกว่งตัวอยู่ใกล้เคียงการคาดการณ์ที่ 110-115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
“อย่างไรก็ตาม กรณีที่ประเทศไทยยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ไม่เกินลิตรละ 30 บาท แต่ปตท.เห็นว่า ราคาน้ำมันควรสะท้อนตามกลไกลตลาดเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ โดยเฉพาะมาเลเซีย ที่เคยตรึงราคาพลังงานมาก่อน เช่นเดียวกับค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันในปัจจุบัน ที่ไม่ควรกำหนดค่าการตลาดที่ตายตัวจากปัจจุบันที่ลิตรละ 1-1.50 บาท ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันต่างประเทศหลายราย ถอนการลงทุนในไทย เช่นเจท และคิว 8 นอกจากนี้ผู้ค้าน้ำมันยังมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากนโยบายปรับค่าแรงวันละ 300 บาท ทำให้ผู้ค้าหลายรายไม่สามารถแข่งขันได้ เพราะค่าตลาดถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแข่งขันของผู้ประกอบการแต่ที่ยังอยู่ได้ เพราะมีรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่การค้าน้ำมัน”
ทั้งนี้โดยส่วนตัว เห็นด้วยกับการขึ้นค่าครองชีพ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้มากยิ่งขึ้น แต่ภาครัฐต้องมีความชัดเจน เพราะขณะที่รัฐบาลต้องการขึ้นค่าครองชีพ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังใช้นโยบายเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ขัดแย้งกัน
ด้านนายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น บริษัท ปตท. กล่าวว่า ปตท.มีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ หรือไบโอพลาสติก ให้เป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยได้ร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ เคมิคอล คอร์ปอเรชั่นของประเทศญี่ปุ่น วงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติแห่งแรกของไทย ที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จังหวัดระยอง ด้วยกำลังผลิตปีละ 20,000 ตันโดยใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบ คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ในปี 58 ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ราคาอ้อยของไทยเกือบ 10 เท่าตัว หรือกิโลกรัมละ 100 บาท จากปัจจุบันเพียง 10-20 บาทเท่านั้น
|