ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ กระทรวงพลังงานจะหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) ทั้งระบบใหม่ หลังจากที่ราคาแอลพีจีตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันต้องจ่ายเงินอุดหนุนเพิ่มมากขึ้น โดยที่ประชุมจะหาข้อยุติเพื่อประกาศเป็นแนวทางการปรับขึ้นราคาแอลพีจีทุกกลุ่มผู้ใช้คือ ภาคขนส่ง ครัวเรือน ปิโตรเคมี และภาคอุตสาหกรรมให้แล้วเสร็จในสิ้นปีนี้

สำหรับนโยบายของรัฐบาลคือ การตรึงราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนไปจนถึงสิ้นปีนี้ ดังนั้น การปรับโครงสร้างราคาก็จะต้องหารือทุกภาคส่วนให้เตรียมพร้อมที่จะทำอย่างไรให้กระทบผู้บริโภคน้อยที่สุด ซึ่งนโยบายกระทรวงพลังงานต้องการปรับราคาแอลพีจีให้เท่ากันทุกกลุ่มผู้ใช้ เพราะจะดูแลการใช้ผิดประเภทง่ายกว่าการแยกปรับราคาเป็นรายกลุ่ม ดังนั้นจึงต้องหาข้อสรุปร่วมกันและมาตรการรองรับ โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องของการอุดหนุนให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยว่าจะยึดหลักการอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะอิงจากบิลค่าไฟสำหรับผู้ใช้ไฟฟรีไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน เพื่อนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลการช่วยเหลือผู้ใช้ภาคครัวเรือน

ทั้งนี้ ราคาแอลพีจีตลาดโลกนำเข้าเดือน ต.ค.อยู่ที่ 1,001 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน หรือคิดเป็น 36 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) แต่ราคาในประเทศต้องเฉลี่ยราคานำเข้าและราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในประเทศ ซึ่งคำนวณแล้วควรอยู่ที่ระดับ 24-25 บาทต่อ กก. แต่ราคาขายปลีกของไทยขณะนี้แยกเป็น 3 ราคาได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 31.13 บาทต่อ กก., แอลพีจีภาคขนส่งอยู่ที่ 21.38 บาทต่อ กก. และแอลพีจีภาคครัวเรือนอยู่ที่ 18.13 บาทต่อ กก. ชี้ให้เห็นว่าราคาแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมเกือบสะท้อนราคานำเข้าแล้ว ขณะที่กองทุนน้ำมันชดเชยราคาแอลพีจีทั้งนำเข้าและหน้าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ ตั้งแต่ปี 2551-2555 สูงถึง 110,000 ล้านบาท

นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียม (แอลพีจี) กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาแอลพีจีทั้งระบบ ให้เป็นราคาเดียว จะทำให้ง่ายต่อการควบคุมการนำไปใช้ผิดประเภทมากกว่าการแยกราคาเป็นรายกลุ่มเหมือนในขณะนี้.