กลับมาอีกครั้งกับงานมหกรรมแสดงสินค้า “ไชน่า อาเซียน เอ็กซ์โป”ครั้งที่ 9 เริ่มตั้งแต่วันที่ 21-25 ก.ย. 55 ซึ่งในครั้งนี้ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้เป็นหัวหน้าทีมนำเจ้าหน้าที่จากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน บินลัดฟ้าสู่นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซี สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมงานหลังจากที่จีนได้หมายมั่นปั้นมือให้นครหนานหนิงแห่งนี้เป็น “ประตูสู่อาเซียน” อีกแห่งหนึ่งเช่นเดียวกับไทย
นอกจากนี้บรรดาผู้นำชาติอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น “นายพล เต็งเส่ง” ผู้นำสหภาพพม่า “ทองสิงห์ ธรรมวงศ์” นายกรัฐมนตรีลาว “เหงียน ทันดุง” ประธานาธิบดีแห่งเวียดนาม หรือ “มูห์ยิดดิน ยัสซิน” รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เข้าร่วมงาน ขณะที่ “สี จิ้นผิง” รองประธานาธิบดีจีน ได้ให้การต้อนรับเหล่าประเทศสมาชิกอย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่าเหมือนกับเป็นการเปิดตัวนายสี จิ้นผิง อย่างเป็นทางการกันเลยทีเดียวเพราะคาดการณ์กันว่าจะเป็นผู้รับตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนคนต่อไปในปีหน้า
หัวใจหลักของงานไชน่า อาเซียน เอ็กซ์โป นี้ เพื่อส่งเสริมและกระชับความร่วมมือทางการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว กับเมืองแห่งเสน่ห์อื่น ๆ ของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน โดยจีนเชื่อมั่นว่าในอนาคต จีนและอาเซียน จะเป็นกลไกสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้ามาจับมือกันให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเร่งปฏิบัติตามข้อตกลงเปิดเสรีการค้าจีน-อาเซียน ที่ทุกฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ร่วมกัน
แม้งานนี้ได้จัดขึ้นในเมืองสงบแดนใต้ของจีน แต่ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เอสเอ็มอีสามารถที่จะผลักดันให้สินค้าของตัวเองออกไปโลดแล่นในเวทีอาเซียนและอาจต่อยอดไปถึงเวทีโลกได้ จึงทำให้เอสเอ็มอีทั่วทุกมุมของอาเซียนมารวมตัวกันเพื่อโชว์ศักยภาพของตัวเองกันอย่างเต็มที่กว่า 2,000 ราย พร้อมนำสินค้าและผลิตภัณฑ์มากกว่า 4,600 บูธ บนเนื้อที่ 48,000 ตารางเมตร ไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอีจากสหภาพพม่า ที่ขนเครื่องประดับอัญมณี ทั้งพลอยและหยก มาออกบูธเพื่ออวดน้ำงามสู่สายตาอาเซียน ด้านของอินโดนีเซียก็ดึงความถนัดของตนเองในการโชว์ผลิตภัณฑ์ไม้ที่ทำให้ชาวจีนถึงกับตะลึงในความพิถีพิถัน เช่นเดียวกับผู้ประกอบการ สปป.ลาว เวียดนาม มาเลเซียที่สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กันด้วยการขนผลิตภัณฑ์พื้นเมืองมาโชว์ เช่นผ้าไหม ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ เป็นต้น
ส่วนเอสเอ็มอีไทยได้ตบเท้าเข้าร่วมงานนี้ถึง 122 คูหาเช่นกัน ต้องถือว่าเป็นการตื่นตัวมากขึ้นจากปีก่อนที่เคยร่วมออกบูธประมาณ 116 บูธ โดยขนทัพสินค้าทั้งอาหาร แฟชั่น สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ของใช้ในครัวเรือน ของตกแต่งบ้าน ธุรกิจบริหารมาโชว์กันอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่างานนี้ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เพราะเป้าหมายสำคัญคือการได้พบกับ “เอเย่นต์” รายใหญ่ เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถกระจายสินค้าในจีนให้ได้ ซึ่งเป็นจุดหมายสำคัญในเมื่อนำของมาโชว์แล้วก็ต้องมีคนซื้อ ที่สำคัญหากเข้ามาบุกตลาดจีนแล้วนั่นหมายความว่า “ออร์เดอร์” หรือคำสั่งซื้อย่อมไหลทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะกำลังซื้อในประเทศจีนนั้นมีกว่า 1,300 ล้านคนทีเดียว
ดังนั้นหากสินค้าของใครมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นที่ดึงดูด ก็ยิ่งได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์สมุนไพร สปา ที่เป็นที่นิยมเช่นกันซึ่ง ’เอกรัฐ สมันตรัฐ“ เจ้าของสมุนไพรยี่ห้อ ’โสภา“ บอกว่า ได้เข้าร่วมงานมาต่อเนื่อง 5 ปีแล้ว และมีออร์เดอร์สั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นกันเพราะสินค้าสมุนไพรโสภามีจุดเด่นไม่เหมือนใครเพราะได้สกัดจากสมุนไพรแท้ ๆ ปราศจากสารเคมี 100% จึงกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ได้ลงทุนเพิ่มด้วยการเปิดช็อปร้านสมุนไพรโสภา อย่างเป็นทางการที่ห้างไชน่า เซ้าท์ พลาซ่า เพื่อให้ลูกค้ามาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ที่สำคัญการจะเข้ามาเปิดตลาดในจีนอย่างจริงจังเรื่องที่ต้องคำนึงถึงอันดับแรกคือการเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เข้ามาในลักษณะของ ’พ่อค้าคนกลาง“ ที่จะอยู่ได้ไม่ยั่งยืน
นอกจากนี้ “ข้าวหอมมะลิ” ของไทยก็กลายเป็นสินค้าเนื้อหอมที่ถูกอกถูกใจคนจีนถึงขนาดต่อคิวรอซื้อกันอย่างไม่ขาดสาย เพราะเป็นสินค้าที่ชื่นชอบเนื่องจากมีเมล็ดข้าวที่นิ่ม หุงขึ้นหม้อ อร่อย รสชาติดี แถมยังมี รมช.พาณิชย์ “ภูมิ สาระผล” ที่มาโชว์ปรุงอาหารราดบนข้าวหอมมะลิก็ยิ่งเรียกความสนใจจากลูกค้าแดนมังกรได้อย่างล้นหลามทีเดียว และเป็นเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนจากการจัดงานเมื่อปี 54 การเจรจาการค้าของไทยประสบความสำเร็จมากมีมูลค่าการสั่งซื้อสินค้าภายในงานทันที 741,873 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 22.25 ล้านบาท ซึ่งสินค้าที่ได้รับความสนใจมาก ได้แก่ สินค้าอาหาร โดยเฉพาะกุนเชียง ข้าว และผลิตภัณฑ์สมุนไพรสปา ที่สร้างมูลค่าทางการค้าภายใน 1 ปี ได้ราว 2.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินราว 83 ล้านบาท
ต้องยอมรับว่าแม้การค้าขายระหว่างกันจะดูสดใส แต่ในแง่ของการปฏิบัติแล้วย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาอุปสรรคย่อมเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นเมื่อผู้นำมีโอกาสได้หารือย่างเป็นทางการกับอนาคตผู้นำประเทศอย่าง “สี จิ้นผิง” จึงกลายเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยต้องชี้แจงรายละเอียดเพื่อลดปัญหาลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะกรณีที่ไทยต้องการ การส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน การเงิน ธุรกิจบริการ ระหว่างไทยกับมณฑลต่าง ๆ ของจีนให้ใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อมีโอกาสขยายตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างกันโดยเน้นความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และการพัฒนาเอสเอ็มอี
รวมไปถึงการให้ฝ่ายจีนอำนวยความสะดวกและดูแลผู้ประกอบการไทยฉันท์พี่น้อง และพิจารณานโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่สนใจไปลงทุนในจีน และแจ้งข้อมูลข่าวสารด้านระเบียบการค้าที่เกี่ยวข้องล้วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้หน่วยราชการแจ้งผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีสายป่านในการดำเนินธุรกิจค่อนข้างสั้นได้มีเวลาและศึกษาการลงทุนและการออกมากระจายสินค้าได้อย่างละเอียด เพราะหลายครั้งเอสเอ็มอีมักบ่นว่าการลงทุนในจีนนั้นมีอุปสรรคมากชนิดที่เรียกว่า “หากเงินไม่หนา สายป่านไม่ยาวพอ คงต้องกลับไปซบบ้านเกิดเมืองนอน”
ขณะที่ทางการจีนเองก็ได้ยืนยันที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยต่อไปพร้อมเพิ่มความสัมพันธ์นี้ให้ก้าวมากขึ้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะที่ความสัมพันธ์ของจีนและกลุ่มอาเซียนต้องผนึกกำลังกันให้มากขึ้นเพื่อให้การพัฒนาเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอระหว่างกันนั้นมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี แต่ความร่วมมือครั้งนี้มีผลอย่างใหญ่หลวงเพราะครอบคลุมกำลังซื้อกว่า 1,900 ล้านคน ที่สำคัญยังทำให้เป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าให้ได้ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 58 นั้นเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
มาจนถึงบรรทัดนี้คงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยากว่า การจัดงานจีน-อาเซียนในแต่ละครั้ง ถือเป็นโอกาสทองของเอสเอ็มอี หากรู้จักปรับตัวและไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เชื่อว่าการก้าวเข้าสู่เวทีอาเซียนหรือเวทีโลกคงไม่ใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสบช่องเห็นโอกาสทองมากกว่ากัน.
|